ปั๊มน้ำที่ใช่ เลือกยังไงให้เป๊ะ!
ปั๊มน้ำเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในหลายภาคส่วนทั้งในอุตสาหกรรมและในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีบทบาทในการขนส่งน้ำจากแหล่งหนึ่งไปยังอีกแหล่งหนึ่ง เช่น การสูบส่งน้ำเพื่อการเกษตร การใช้น้ำในครัวเรือน หรือแม้แต่ในระบบการประปาในเมืองใหญ่ ปั๊มน้ำทำหน้าที่ให้กระบวนการต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการทำงานที่แตกต่างกันตามประเภทของปั๊ม เช่น ปั๊มน้ำวน (Centrifugal Pump) ปั๊มลูกสูบ (Piston Pump) หรือปั๊มสกรู (Screw Pump) ซึ่งแต่ละชนิดก็มีลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมกับงานที่แตกต่างกันออกไป
ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงประเภทต่าง ๆ ของปั๊มน้ำ วิธีการทำงาน และการเลือกใช้ปั๊มน้ำให้เหมาะสมกับงานที่ต้องการ เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในประสิทธิภาพและข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภทของปั๊ม รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกใช้ปั๊มน้ำที่เหมาะสม
รู้จักประเภทของปั๊มน้ำ
ก่อนอื่นคุณต้องรู้จักประเภทของปั๊มน้ำที่มีให้เลือกในท้องตลาด เพราะแต่ละประเภทเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ได้แก่:
ภาพ : ปั๊มอัตโนมัติ
1.ปั๊มอัตโนมัติ (Automatic Water pump) คืออุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำในระบบประปา ทำงานอัตโนมัติโดยเปิด-ปิดตามแรงดันน้ำที่เปลี่ยนแปลง เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย อาคารสูง หรือสถานที่ที่ต้องการแรงดันน้ำสม่ำเสมอ มีให้เลือกหลายประเภท เช่น ปั๊มแรงดันคงที่ที่รักษาแรงดันน้ำให้คงที่ ปั๊มน้ำแรงดันสูงสำหรับอาคารสูง และปั๊มอินเวอร์เตอร์ที่ประหยัดพลังงานและทำงานเงียบ การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับความต้องการแรงดันน้ำ ขนาดอาคาร และปริมาณการใช้น้ำในแต่ละวัน การติดตั้งควรดำเนินการโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ปั๊มอัตโนมัติสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1.1.1 ปั๊มอัตโนมัติแบบมีถังแรงดัน หรือที่เรียกกันว่า ปั๊มถังกลม นั่นเอง (Automatic Water Pump with Pressure Tank) โดยปั๊มชนิดนี้จะมีถังแรงดันอยู่ด้านล่างของตัวเครื่องปั๊มน้ำ เป็นการทำงานระหว่างอากาศกับปริมาณน้ำ
มีหลักการทำงานคือ ใช้แรงดันจากอากาศที่อยู่ในถังทำให้น้ำไหลแรงขึ้น โดยปั๊มจะดูดน้ำเข้าไปแทนที่อากาศในถัง ทำให้เกิดแรงดันขึ้นมา เมื่อมีการเปิดใช้น้ำ ดังนั้นน้ำและอากาศที่ถูกอัดรวมกันก็จะถูกปล่อยออกมา ไปยังจุดบริเวณที่ต้องการใช้น้ำ
1.1.2 ปั๊มอัตโนมัติแบบแรงดันคงที่ หรือที่เรียกกันว่า ปั๊มถังเหลี่ยม (Constant Pressure Water Pump) มีรูปแบบการทำงานคือ เมื่อมีการใช้น้ำ ปั๊มจะทำงานทันที ปั๊มชนิดนี้จะไม่มีถังแรงดันอยู่ด้านล่าง แต่จะมีถังขนาดเล็กบรรจุก๊าซไนโตรเจน (N2) เรียกว่า Nitrogen Tank หรือ Bladder Tank สำหรับใช้สร้างแรงดันแทน เป็นการทำงานระหว่างก๊าซไนโตรเจนกับปริมาณน้ำ
มีหลักการทำงานคือ ก๊าซไนโตรเจนจะถูกอัดอยู่ภายในของถังอย่างถาวร โดยจะมียางไดอะแฟรม (Diaphragm) คั่นกลางเอาไว้ระหว่างน้ำกับก๊าซไนโตรเจน แรงดันของก๊าซจะถูกควบคุมด้วยอุปกรณ์ควบคุมแรงดัน (Pressure Stabilized Unit) ที่จะคอยสร้างแรงดัน อย่างต่อเนื่องให้กับปั๊ม ทำให้ระบบน้ำในบ้านไหลแรงอย่างสม่ำเสมอ ข้อดีของก๊าซไนโตรเจน คือ ทนต่อความร้อนได้ดี และมีแรงดันที่เสถียรกว่าอากาศธรรมดาทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้ระดับความร้อนของน้ำที่ใช้ก็จะมีระดับคงที่ตลอดเวลาการใช้งาน
1.1.3 ปั๊มอัตโนมัติชนิดแรงดันคงที่อินเวอร์เตอร์ การทำงานคล้ายกับปั๊มอัตโนมัติแบบแรงดันคงที่ แต่ได้เพิ่มเติมระบบอินเวอร์เตอร์ เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้า ทำให้ขณะใช้งานน้ำน้อยก็จะกินไฟน้อยตามสัดส่วน
ภาพ : ปั๊มแช่ หรือ ปั๊มจุ่ม
2.ปั๊มแช่ หรือ ปั๊มจุ่ม (Submersible Pump) คือปั๊มที่ออกแบบให้จุ่มลงในน้ำเพื่อสูบหรือดูดน้ำได้โดยตรง เหมาะสำหรับใช้งานสูบน้ำในบ่อ บ่อน้ำเสีย หรือพื้นที่น้ำท่วม มีประเภทน้ำสะอาดและน้ำเสีย รวมถึงรุ่นที่มาพร้อมลูกลอยควบคุมอัตโนมัติ ขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่ายและทนทานต่อการใช้งานในสภาพเปียกตลอดเวลา ใช้สำหรับระบายน้ำหรือสูบน้ำในงานทั่วไป เช่น น้ำท่วม บ่อปลา หรือระบบระบายน้ำเสียในโรงงานและอาคาร
ปั๊มแช่ หรือ ปั๊มจุ่มสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1.1 ปั๊มจุ่มน้ำดีหรือ ปั๊มจุ่มน้ำสะอาด ใช้สำหรับสูบน้ำสะอาด น้ำที่ไม่มีตะกอนหรือเศษขยะ จะมีช่องตะแกรงถี่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันในช่องใบพัดได้ เช่น น้ำจากบ่อน้ำ, น้ำจากบ่อบาดาล หรือในงานสูบจ่ายน้ำทั่วไป การใช้งาน: ประปา, สวน, ฟาร์ม หรือการสูบน้ำจากแหล่งน้ำที่สะอาด
2.1.2 ปั๊มแช่สำหรับน้ำเสีย (Wastewater Submersible Pump) เป็นปั๊มที่สามารถใช้สูบน้ำโคลน น้ำมีตะกอนหรือเศษขยะได้ เพราะมีช่องตะแกรงที่ใหญ่ และมีฐานที่สูงกว่าปั๊มจุ่มน้ำดี เพื่อให้สามารถดูดตะกอนหรือสิ่งสกปรกได้สะดวก ปั๊มจุ่มน้ำเสียบางรุ่นจะมีใบมีดที่ใบพัด ใช้สำหรับตัดเศษขยะให้เป็นชิ้นเล็กๆ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันได้อีกด้วย เช่น น้ำทิ้งจากอุตสาหกรรม หรือจากห้องน้ำ การใช้งาน: บ่อบำบัดน้ำเสีย, ปั๊มในระบบสุขาภิบาล
ภาพ : ปั๊มหอยโข่ง
3.ปั๊มหอยโข่ง (Centrifugal Pump) เป็นปั๊มน้ำที่ทำงานโดยใช้แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (Centrifugal Force) ผ่านใบพัดที่หมุนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำและส่งน้ำไปยังจุดที่ต้องการ ตัวปั๊มมักใช้สำหรับการส่งน้ำในระบบประปา การเกษตร งานอุตสาหกรรม หรือระบบชลประทาน ปั๊มหอยโข่งมีโครงสร้างเรียบง่าย ทนทาน และเหมาะสำหรับการสูบน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว มีหลายขนาดและประเภท เช่น แบบใบพัดเดี่ยวหรือหลายใบพัด เหมาะสำหรับน้ำสะอาดหรือน้ำที่มีตะกอนน้อย ควรติดตั้งในพื้นที่ที่น้ำสามารถไหลเข้าปั๊มได้ดีเพื่อป้องกันปัญหาการทำงานแห้ง (Dry Running) ที่อาจทำให้ปั๊มเสียหาย
ปั๊มหอยโข่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การออกแบบ การก่อสร้าง การใช้งาน การบริการ การใช้งานตามมาตรฐานระดับประเทศหรือระดับอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังนั้น ปั๊มหนึ่งตัวสามารถอยู่ในภาคส่วนการใช้งานที่ต่างกันได้ และในบางครั้งแค่เห็นชื่อของปั๊มเราก็รู้แล้วว่ามันทำงานอย่างไร
3.1.แบ่งตามแนวใช้งาน ปั๊มหอยโข่ง
3.1.1 ปั๊มหอยโข่งแนวตั้ง ในปั๊มประเภทนี้ ปลอกรูปก้นหอยจะแยกออกตามแนวแกนและเส้นแยกที่ปลอกปั๊มแยกอยู่ที่เส้นกึ่งกลางของเพลา โดยทั่วไปจะติดตั้งในแนวนอนเนื่องจากสะดวกในการติดตั้งและบำรุงรักษา
3.1.2 ปั๊มหอยโข่งแนวรัศมี แบบนี้เคสปั๊มแยกจะเป็นแนวรัศมี การแยกปลอกรูปก้นหอยจะตั้งฉากกับเส้นกึ่งกลางเพลา
3.2.แบ่งตามใบพัด ปั๊มหอยโข่ง
3.2.1 ปั๊มหอยโข่งใบพัดเดี่ยว ปั๊มชนิดนี้มีใบพัดดูดเดียว ช่วยให้ของเหลวไหลเข้าสู่ใบมีดผ่านด้านเดียวเท่านั้น มีการออกแบบที่เรียบง่าย และเนื่องจากการไหลเข้ามาที่ด้านใดด้านหนึ่งของใบพัดนี้เอง ทำให้ใบพัดมีความไม่สมดุลของแรงขับตามแนวแกนที่สูงขึ้น
3.2.2 ปั๊มหอยโข่งใบพัดคู่ ปั๊มชนิดนี้มาพร้อมกับใบพัดดูดคู่ ช่วยให้ของเหลวไหลเข้าจากทั้งสองด้านของใบพัดและมี NPSHR ต่ำกว่าใบพัดดูดเดี่ยว ปั๊มหอยโข่งชนิด Split-Case มักพบใบพัดดูดคู่มากที่สุด
ภาพ : ปั๊มบาดาล
4.ปั๊มบาดาล (Deep Well Pump) เป็นปั๊มที่ออกแบบมาให้จุ่มลงไปในน้ำใต้ดิน เช่น บ่อน้ำบาดาล เพื่อสูบน้ำขึ้นมาใช้งาน โดยตัวปั๊มและมอเตอร์จะถูกติดตั้งใต้น้ำทั้งหมด เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำลึก เช่น การเกษตร การอุปโภคบริโภค หรือระบบประปาในพื้นที่ชนบท ปั๊มบาดาลมีประสิทธิภาพสูง สามารถส่งน้ำจากความลึกหลายสิบเมตรขึ้นมาได้ มักใช้วัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนและแรงดันสูง การติดตั้งต้องใช้ท่อส่งน้ำและระบบไฟฟ้าที่เหมาะสม มีหลายประเภท เช่น ปั๊มสำหรับน้ำสะอาดหรือปั๊มสำหรับน้ำที่มีตะกอน ควรเลือกขนาดและกำลังตามความลึกของบ่อและปริมาณน้ำที่ต้องการใช้งาน
ปั๊มบาดาลสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ
4.1 ปั๊มน้ำบาดาลแบบจุ่ม : ใช้สำหรับการสูบน้ำจากบ่อน้ำหรือบ่อน้ำมันในที่อยู่อาศัย และในเขตเทศบาล สามารถใช้ในงานสระน้ำหรือสระสามารถใช้งานได้ด้วย
4.2 ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำสะอาด : ใช้สำหรับสูบน้ำสะอาด ระบายน้ำขัง หรือแหล่งน้ำขังที่มีเศษตะกอนไม่มาก เหมาะสำหรับใช้ในบ้านหรือในการเกษตร เช่น การสูบน้ำจากสระน้ำหรือถังพักน้ำ
4.3 ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำเสีย : ใช้สำหรับน้ำเสียและสิ่งปติกูลต่าง ๆ ภายในปั๊มซับเมอร์สแบบนี้มักมีลูกลอยหรือช่วงตะกอนและสามารถตัดเศษต่าง ๆ ให้เป็นเส้นใยเล็กชิ้นน้อยเพื่อป้องกันการอุดตันภายในปั๊ม
4.4 ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับสูบน้ำทะเล : ใช้สำหรับสูบน้ำทะเล ตัวเครื่องออกแบบมาเฉพาะเพื่อทนต่อความเค็มของน้ำทะเลและมีระบบแรงดันไฟฟ้าแบบ DC สามารถเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ได้
4.5 ปั๊มซับเมอร์ส สำหรับน้ำที่มีโคลน : ใช้สำหรับสูบน้ำที่มีโคลน ทราย หิน เจือปนอยู่ในน้ำ เหมาะสำหรับใช้ในงานก่อสร้าง งานด้านโยธา และการสูบน้ำในเหมืองแร่ ดูสินค้าทั้งหมด
ปั๊มน้ำบาดาลมีความสำคัญในหลายสถานการณ์ การเลือกใช้ปั๊มที่เหมาะสมสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานในการสูบน้ำบาดาลขึ้นมายังผิวดินอย่างเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ที่ต้องการน้ำใต้ดิน
ภาพ : เครื่องสูบน้ำ
5.เครื่องสูบน้ำ (Water Pump) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายน้ำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือเพิ่มแรงดันน้ำในระบบประปา เครื่องสูบน้ำมีหลากหลายประเภท เช่น ปั๊มหอยโข่ง ปั๊มจุ่ม ปั๊มบาดาล และปั๊มน้ำอัตโนมัติ โดยเลือกใช้งานตามความเหมาะสม เช่น การสูบน้ำในบ้านเรือน การเกษตร การจัดการน้ำท่วม หรือระบบอุตสาหกรรม เครื่องสูบน้ำทำงานโดยใช้มอเตอร์หรือเครื่องยนต์เพื่อสร้างแรงดันน้ำ ส่งน้ำไปยังพื้นที่ที่ต้องการ บางรุ่นสามารถสูบน้ำที่มีตะกอนหรือสิ่งสกปรกได้ ควรเลือกเครื่องสูบน้ำตามปริมาณน้ำที่ต้องการ ระยะทาง และลักษณะของแหล่งน้ำเพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
เครื่องสูบน้ำสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
5.1 เครื่องสูบน้ำแบบใบพัด ทำงานด้วยการหมุนของใบพัด ทำให้เกิดแรงดันจ่ายไปตามท่อน้ำ มีข้อดีที่ขนาดเล็ก หลักการทำงานที่เรียบง่าย มีชิ้นส่วนน้อย จ่ายน้ำได้ในปริมาณมาก และสร้างแรงดันน้ำได้มากพอควร ซึ่งหากต้องการแรงดันสูงก็สามารถนำหลายเครื่องมาต่อพ่วงกันเป็นทอด ๆ ได้ ปัจจุบันนิยมใช้เครื่องสูบน้ำประเภทนี้กันมาก และมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามรูปร่างลักษณะของตัวเครื่อง เช่นเครื่องสูบน้ำอัตโนมัติ เครื่องสูบน้ำแบบหอยโข่ง ปั๊มไดโว่ เป็นต้น ในสมัยก่อนการใช้แครื่องยนต์ทดแรง มีการใช้ระหัด (rahat หริอ chain pump) ในการสูบน้ำ ซึ่งเรียกว่า การชักน้ำหรือวิดน้ำ ด้วยแรงคน แรงสัตว์ แรงกลจากลมหรือน้ำ โดยผ่านบริเวณที่จำกัดคือ รางระหัดซึ่งประกอบกับสายพานที่มีใบชักหลายใบหรือกระบอกคล้ายโซ่จักรยาน ในการชักน้ำทีละน้อย ๆ
5.2 เครื่องสูบน้ำแบบลูกสูบ ทำงานด้วยการชักลูกสูบเลื่อนไปมาในลูกสูบ และมีวาล์วเปิดปิดน้ำเข้าออกจากลูกสูบซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงดันน้ำโดยตรง ในสมัยก่อนจะนิยมใช้กันมากโดยเฉพาะในสวน ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้ว ข้อดีของเครื่องประเภทนี้คือสามารถสร้างแรงดันน้ำได้สูง แต่มีข้อเสียที่ให้ปริมาณน้ำน้อย และมีการสึกหรอของลูกสูบมาก
5.3 เครื่องสูบน้ำแบบใบเกลียว การสูบน้ำแบบใบเกลียว (Progressive cavity pump และ Screw pump) มีหลักการทำงานแบบเกลียวอาร์คิมิดีส ด้วยการหมุนเกลียวในการผลักน้ำ เครื่องสูบแบบนี้สามารถพัฒนาแรงดันสูงมากแต่ปริมาณการสูบต่ำ เหมาะสำหรับการสูบน้ำที่มีสิ่งเจือปนขนาดใหญ่ หรือมีสิ่งปฏิกูลปนอยู่มาก เนื่องจากมีความหนืดสูงต้องใช้กำลังในการผลักหรือสูบมาก
ประเภทการใช้งาน
แน่นอนว่าสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นลำดับถัดมาคือ ประเภทการใช้งานของปั๊มน้ำ เพราะการเลือกปั๊มน้ำที่เหมาะสมจะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว การใช้งานของปั๊มน้ำแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น การใช้งานในบ้านพักอาศัย ซึ่งมุ่งเน้นการจ่ายน้ำให้แรงดันคงที่และเสียงเงียบเพื่อความสะดวกสบาย การใช้งานในงานเกษตรกรรมต้องการปริมาณน้ำมากและสามารถส่งน้ำไปยังพื้นที่ห่างไกลได้ ส่วนการใช้งานในอุตสาหกรรมจะเน้นที่ความทนทาน ความสามารถในการทำงานต่อเนื่อง และรองรับของเหลวหลากชนิด นอกจากนี้ยังมีการใช้งานในระบบประปาหรืออาคารสูงที่ต้องการปั๊มน้ำแรงดันสูงเพื่อให้จ่ายน้ำถึงทุกจุดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น งานดับเพลิง งานบำบัดน้ำเสีย หรืองานสูบน้ำเคมี ดังนั้น การพิจารณาว่าปั๊มน้ำจะถูกนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมใด มีความต้องการพิเศษอะไร และรองรับการใช้งานได้เพียงพอหรือไม่ จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกปั๊มน้ำที่เหมาะสมได้ตรงจุดที่สุด
ภาพ : การใช้งานในบ้านพักอาศัย
2.1 การใช้งานในบ้านพักอาศัย : ปั๊มน้ำสำหรับบ้านพักอาศัยออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มแรงดันน้ำให้เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำที่ต้องการแรงดันน้ำที่สม่ำเสมอ การซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าที่ต้องการน้ำไหลเร็ว รวมถึงการรดน้ำต้นไม้ในสวนหลังบ้าน ปั๊มประเภทนี้มักมีระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ เมื่อมีการเปิดใช้น้ำ เช่น จากก๊อกหรือฝักบัว ปั๊มจะทำงานทันทีและหยุดเมื่อไม่มีการใช้งาน นอกจากนี้ยังถูกออกแบบให้มีเสียงการทำงานที่เบาเพื่อไม่รบกวนบรรยากาศในบ้าน อีกทั้งวัสดุยังทนต่อการใช้งานในระยะยาว โดยเฉพาะรุ่นที่มาพร้อมระบบประหยัดพลังงานที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าในครัวเรือน
คุณสมบัติที่ควรมี :
- ระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ : เปิดปั๊มเมื่อใช้น้ำ และหยุดเมื่อไม่มีการใช้น้ำ
- แรงดันคงที่ : เพื่อให้การใช้น้ำในบ้านไม่มีปัญหาน้ำไหลเบาหรือแรงเกินไป
- เสียงเงียบ : เหมาะกับบ้านพักที่ต้องการความสงบ
ตัวอย่างปั๊มน้ำที่เหมาะสม :
- ปั๊มอัตโนมัติ (Automatic Pump) : เหมาะกับบ้าน 1-2 ชั้น
- ปั๊มบูสเตอร์ (Booster Pump) : เหมาะกับบ้านที่มีหลายชั้นหรือแรงดันน้ำไม่เพียงพอ
ภาพ : การใช้งานในงานเกษตรกรรม
2.2 การใช้งานในงานเกษตรกรรม : การใช้งานปั๊มน้ำในภาคเกษตรกรรมมีบทบาทสำคัญในการส่งน้ำให้เพียงพอต่อการชลประทานในพื้นที่เพาะปลูก เช่น ไร่นา สวนผัก หรือสวนผลไม้ ปั๊มที่ใช้ต้องมีความสามารถในการจ่ายน้ำในปริมาณมากเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่กว้างและรวดเร็ว รวมถึงรองรับการสูบน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น คลอง บ่อ หรือแหล่งน้ำใต้ดิน บางกรณีต้องการปั๊มที่มีแรงดันสูงเพื่อดันน้ำไปยังพื้นที่สูงหรือที่ห่างไกล นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความทนทานของปั๊ม เนื่องจากการใช้งานในพื้นที่เกษตรมักเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน เช่น ฝุ่น ดิน และตะกอนในน้ำ
คุณสมบัติที่ควรมี :
- ปริมาณน้ำมาก (High Flow Rate) : เพื่อให้น้ำสามารถส่งถึงพื้นที่กว้างขวางได้รวดเร็ว
- ความสามารถในการสูบน้ำจากแหล่งน้ำลึก : เช่น สูบน้ำจากบ่อบาดาลหรือคลอง
- ความทนทาน : ใช้งานในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมสมบุกสมบัน เช่น มีฝุ่นหรือดิน
ตัวอย่างปั๊มน้ำที่เหมาะสม :
- ปั๊มหอยโข่ง (Centrifugal Pump) : ใช้สำหรับการจ่ายน้ำระยะไกลในปริมาณมาก
- ปั๊มจุ่ม (Submersible Pump) : ใช้สำหรับสูบน้ำจากบ่อบาดาลหรือบ่อน้ำลึก
- ปั๊มไดโว่ (Diaphragm Pump) : เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความแม่นยำในการจ่ายน้ำ
ภาพ : การใช้งานในอุตสาหกรรม
2.3 การใช้งานในอุตสาหกรรม : งานอุตสาหกรรมต้องการปั๊มน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรและต่อเนื่อง ปั๊มประเภทนี้ใช้ในกระบวนการสำคัญ เช่น ระบบหล่อเย็นเครื่องจักร การลำเลียงน้ำเสียไปบำบัด หรือการจ่ายน้ำในกระบวนการผลิตต่าง ๆ ปั๊มที่เลือกต้องมีความทนทาน รองรับของเหลวหลากชนิด เช่น น้ำร้อน น้ำเคมี หรือน้ำที่มีตะกอน พร้อมทั้งระบบป้องกันความเสียหาย เช่น การป้องกันความร้อนสูงหรือโอเวอร์โหลด เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ยังควรออกแบบให้ประหยัดพลังงานเพื่อช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
คุณสมบัติที่ควรมี :
- ความสามารถในการทำงานต่อเนื่อง : ปั๊มต้องรองรับการใช้งานที่หนักและยาวนาน
- ระบบความปลอดภัย : เช่น ป้องกันการโอเวอร์โหลด หรือการเกิดความร้อนสูง
- รองรับของเหลวหลากชนิด : เช่น น้ำร้อน น้ำเคมี หรือของเหลวที่มีตะกอน
ตัวอย่างปั๊มน้ำที่เหมาะสม :
- ปั๊มหอยโข่งแบบหลายใบพัด (Multistage Centrifugal Pump) : เหมาะกับงานที่ต้องการแรงดันสูง
- ปั๊มสกรู (Screw Pump) : เหมาะกับการสูบของเหลวที่มีความหนืดสูง
- ปั๊มสำหรับน้ำเสีย (Sewage Pump) : ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย
ภาพ : การใช้งานในระบบประปา
2.4 การใช้งานในระบบประปา : ระบบประปาในอาคารสูงหรือสถานที่ขนาดใหญ่ เช่น คอนโดมิเนียม โรงแรม หรือโรงพยาบาล จำเป็นต้องใช้ปั๊มน้ำที่มีความสามารถในการจ่ายน้ำไปยังหลายจุดพร้อมกันในปริมาณมากและแรงดันน้ำที่สม่ำเสมอ ปั๊มที่เหมาะสมสำหรับระบบประปามักเป็นปั๊มบูสเตอร์ (Booster Pump) หรือปั๊มหอยโข่งแบบหลายใบพัด (Multistage Pump) ที่สามารถสร้างแรงดันสูงเพื่อส่งน้ำไปยังชั้นบนของอาคาร ระบบปั๊มเหล่านี้ควรมีการควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อปรับกำลังการจ่ายน้ำตามความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ยังต้องมีความทนทานต่อการทำงานอย่างต่อเนื่องและมีระบบสำรอง (Backup System) เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำในกรณีฉุกเฉิน การออกแบบที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดพลังงานที่ใช้ในระบบประปา ทำให้ลดต้นทุนและส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว
คุณสมบัติที่ควรมี :
- แรงดันคงที่ตลอดการใช้งาน : เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยใช้น้ำพร้อมกันได้
- การทำงานแบบประหยัดพลังงาน : เช่น ใช้ปั๊มที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter)
- ความเสถียร : รองรับการใช้งานทั้งในช่วงที่มีการใช้น้ำมากและน้อย
ตัวอย่างปั๊มน้ำที่เหมาะสม :
- ปั๊มบูสเตอร์ (Booster Pump) : ใช้เพิ่มแรงดันในระบบท่อส่งน้ำ
- ปั๊มหอยโข่งแบบหลายใบพัด (Multistage Pump) : เหมาะสำหรับอาคารสูงหรือระบบประปาที่ต้องการแรงดันสูง
ภาพ : การใช้งานเฉพาะด้าน
2.5 การใช้งานเฉพาะด้าน : บางการใช้งานต้องการปั๊มน้ำที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างจากการใช้งานทั่วไป เช่น ปั๊มดับเพลิง (Fire Pump) ที่ต้องการแรงดันสูงและการทำงานที่รวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน ปั๊มสูบน้ำเคมีที่ต้องใช้วัสดุทนต่อการกัดกร่อน เช่น สแตนเลสหรือเทฟลอน สำหรับโรงงานเคมีหรือห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีปั๊มสำหรับงานบำบัดน้ำเสียที่สามารถจัดการกับของเหลวที่มีตะกอนหรือน้ำที่มีสิ่งเจือปนได้ดี ปั๊มประเภทนี้มักมาพร้อมฟังก์ชันพิเศษหรือการออกแบบเฉพาะตัวเพื่อให้เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างงานเฉพาะด้าน :
- งานดับเพลิง: ปั๊มดับเพลิง (Fire Pump) ที่มีกำลังสูงและเปิดทำงานทันทีในกรณีฉุกเฉิน
- งานสูบน้ำเคมี: ปั๊มที่ทนต่อการกัดกร่อน เช่น ปั๊มวัสดุสแตนเลส หรือเทฟลอน
- งานบำบัดน้ำเสีย: ปั๊มที่สามารถจัดการน้ำเสียหรือของเหลวที่มีตะกอนได้
ปริมาณน้ำที่ต้องการ
การพิจารณาปริมาณน้ำที่ต้องการเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกปั๊มน้ำ เพราะเป็นตัวกำหนดว่าปั๊มต้องสามารถจ่ายน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการใช้งานในช่วงเวลาหนึ่งอย่างเหมาะสม โดยปริมาณน้ำที่ต้องการ (Flow Rate) มักวัดเป็นหน่วยลิตรต่อวินาที (L/s) หรือ ลิตรต่อนาที (L/min) และจะแตกต่างกันไปตามประเภทของการใช้งาน เช่น
- ในบ้านพักอาศัยทั่วไป อาจต้องการปริมาณน้ำประมาณ 10-30 ลิตรต่อนาที เพื่อรองรับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอาบน้ำ ซักผ้า หรือรดน้ำต้นไม้ หากเป็นระบบประปาในอาคารสูง ปริมาณน้ำที่ต้องการจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนชั้นและจุดใช้งานในแต่ละชั้น
- ในงานเกษตรกรรม เช่น การชลประทานในไร่นาหรือสวน อาจต้องใช้ปริมาณน้ำที่สูงขึ้นเป็นหลักร้อยลิตรต่อนาที เพื่อให้สามารถจ่ายน้ำครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ในภาคอุตสาหกรรม ปริมาณน้ำที่ต้องการมักจะมากกว่า 100 ลิตรต่อนาที หรืออาจถึงหลายพันลิตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบหล่อเย็นของเครื่องจักร หรือการลำเลียงของเหลวในกระบวนการผลิต การประเมินปริมาณน้ำที่ต้องการจึงต้องคำนวณจากความต้องการสูงสุด (Peak Demand) ในช่วงเวลาที่มีการใช้น้ำพร้อมกันมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าปั๊มน้ำสามารถรองรับได้โดยไม่เกิดปัญหาน้ำไม่พอ
การเลือกปั๊มให้เหมาะกับปริมาณน้ำที่ต้องการนั้น ควรพิจารณาเผื่อความสามารถของปั๊มไว้เล็กน้อย (Safety Margin) เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ความต้องการน้ำเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือการใช้งานปั๊มในสภาพแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ท่อส่งน้ำที่ยาวหรือมีการรั่วไหล การประเมินที่แม่นยำและการเลือกปั๊มที่มีสมรรถนะเหมาะสม จะช่วยให้ระบบจ่ายน้ำทำงานได้อย่างราบรื่นและประหยัดพลังงานในระยะยาว
แรงดันน้ำ (Pressure)
แรงดันน้ำ (Pressure) เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกปั๊มน้ำ เพราะแรงดันน้ำส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการจ่ายน้ำในระบบและการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยแรงดันน้ำคือแรงที่ใช้ในการผลักดันน้ำให้เคลื่อนที่ไปตามท่อส่งน้ำ และมักวัดเป็นหน่วย บาร์ (bar) หรือ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) สำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น บ้านพักอาศัย แรงดันน้ำที่เหมาะสมจะอยู่ในช่วง 1-3 บาร์ เพื่อให้รองรับกิจกรรมในครัวเรือน เช่น การอาบน้ำด้วยฝักบัว การใช้งานเครื่องซักผ้า และการล้างจานได้อย่างราบรื่น
ในกรณีของอาคารสูงหรือคอนโดมิเนียม แรงดันน้ำที่ต้องการจะสูงขึ้นตามจำนวนชั้น เพราะปั๊มน้ำต้องสามารถดันน้ำให้ไปถึงชั้นบนสุดได้โดยแรงดันไม่ตก ตัวอย่างเช่น หากอาคารมี 10 ชั้น ปั๊มอาจต้องให้แรงดันที่สูงกว่า 4 บาร์ นอกจากนี้ ในระบบประปาหรืออุตสาหกรรมที่มีการจ่ายน้ำในระยะทางไกลหรือการใช้น้ำพร้อมกันในปริมาณมาก แรงดันน้ำสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำสามารถเข้าถึงทุกจุดปลายทางได้อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับงานเกษตรกรรม เช่น การรดน้ำในแปลงเกษตรที่ใช้สปริงเกลอร์หรือระบบน้ำหยด แรงดันน้ำจะต้องเหมาะสมกับประเภทของอุปกรณ์ที่ใช้งาน หากแรงดันต่ำเกินไป สปริงเกลอร์จะไม่สามารถพ่นน้ำได้ไกลเพียงพอ และอาจทำให้พื้นที่บางส่วนไม่ได้รับน้ำ ในขณะที่แรงดันสูงเกินไปอาจทำให้อุปกรณ์เสียหาย หรือทำให้น้ำสูญเปล่า ดังนั้นจึงต้องเลือกปั๊มที่รองรับแรงดันน้ำตามที่ระบบต้องการ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือแรงดันน้ำในงานเฉพาะด้าน เช่น งานดับเพลิงที่ต้องใช้ปั๊มแรงดันสูงเพื่อส่งน้ำไปยังหัวฉีดในระยะไกลอย่างรวดเร็ว หรืองานในอุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายน้ำไปยังเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตที่ต้องการแรงดันคงที่และแม่นยำ
การเลือกปั๊มน้ำที่มีแรงดันเหมาะสม ควรคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อม เช่น ความสูงของพื้นที่ ระยะทางของท่อส่งน้ำ ขนาดของท่อ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบ เพื่อป้องกันปัญหาแรงดันน้ำตกหรือแรงดันเกิน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบและอายุการใช้งานของปั๊ม นอกจากนี้ การติดตั้งตัวควบคุมแรงดันหรือระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ยังช่วยรักษาแรงดันน้ำให้คงที่และประหยัดพลังงานได้ในระยะยาว
ความสูงของการสูบน้ำ
ความสูงของการสูบน้ำ (Head) ของปั๊มน้ำ คือการวัดความสามารถของปั๊มในการยกน้ำจากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่น โดยจะบ่งบอกถึงพลังงานที่ปั๊มต้องใช้ในการส่งน้ำให้ถึงที่หมาย ซึ่งจะวัดเป็นหน่วยของความสูงในหน่วย "เมตร" (m) ความสูงนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ระยะทางแนวดิ่ง (สูง-ต่ำ) เท่านั้น แต่ยังหมายถึงความต้านทานต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการไหลของน้ำในระบบท่อด้วย
การอธิบายง่ายๆ ของ "ความสูงของการสูบน้ำ"
สมมติว่าคุณต้องการยกน้ำจากในบ่อขึ้นไปที่ถังน้ำที่สูงกว่าระดับบ่อ น้ำที่ถูกยกขึ้นจะต้องมี "พลังงาน" ที่เพียงพอเพื่อฝ่าฟันแรงต้านจากท่อและยกน้ำไปถึงที่สูงตามที่คุณต้องการ ความสูงที่ปั๊มสามารถยกน้ำไปได้จะถูกเรียกว่า "Head" ของปั๊ม
ส่วนประกอบของ Head
ความสูงสุทธิ (Static Head): คือระยะทางจากระดับของน้ำที่ปั๊มดูดขึ้น (จุดที่น้ำเข้าไปในปั๊ม) ไปยังจุดที่น้ำถูกส่งออก (ที่จุดการจ่ายน้ำ) โดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียพลังงานจากการไหลในท่อ
ตัวอย่าง : ถ้าน้ำในบ่ออยู่ที่ระดับ 0 เมตร และถังน้ำอยู่ที่ระดับ 10 เมตรจากพื้นดิน ความสูงสุทธิจะเท่ากับ 10 เมตร
การสูญเสียจากความต้านทานของท่อ (Friction Loss): เมื่อมีน้ำไหลผ่านท่อ จะเกิดแรงเสียดทานที่ทำให้บางส่วนของพลังงานน้ำหายไป ส่งผลให้น้ำไม่สามารถไหลได้ไกลเหมือนในท่อที่ไม่มีการเสียดทาน
ตัวอย่าง : ท่อที่มีขนาดเล็กหรือมีการบิดโค้งมาก จะทำให้มีการสูญเสียพลังงานมากขึ้น
ความสูงรวม (Total Head): คือการรวมความสูงสุทธิและการสูญเสียพลังงานจากความต้านทานของท่อ หรือก็คือ "ความสูงรวมที่ปั๊มต้องสามารถเอาชนะได้"
ตัวอย่าง : ถ้าความสูงสุทธิที่ต้องการคือ 10 เมตร แต่ท่อมีการสูญเสียพลังงาน 2 เมตร รวมความสูงที่จะต้องการคือ 12 เมตร
ประเภทแหล่งจ่ายไฟฟ้า
ปั๊มน้ำเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสูบน้ำเพื่อการใช้งานต่างๆ ทั้งในอุตสาหกรรม, การเกษตร, งานก่อสร้าง, และการใช้งานในบ้านเรือน เช่น การสูบน้ำประปา, การสูบน้ำจากบ่อน้ำ, หรือการสูบน้ำในระบบระบายน้ำ เป็นต้น โดยแหล่งจ่ายไฟที่ใช้ในการขับเคลื่อนปั๊มน้ำมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับขนาด, ประเภทของปั๊ม, และความต้องการในการใช้งาน ซึ่งแหล่งจ่ายไฟที่ใช้กับปั๊มน้ำหลักๆ จะมีดังนี้
1. แหล่งจ่ายไฟฟ้า 1 เฟส (Single Phase Power)
ไฟฟ้า 1 เฟสเป็นแหล่งจ่ายไฟที่พบได้บ่อยที่สุดในปั๊มน้ำที่ใช้งานในบ้านเรือนหรือพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น การสูบน้ำในบ้าน, สวน, หรือพื้นที่เกษตรขนาดเล็ก โดยปั๊มน้ำที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟสมีลักษณะดังนี้:
- โครงสร้างของไฟฟ้า 1 เฟส : ระบบไฟฟ้า 1 เฟสประกอบด้วยสายไฟ 2 เส้นหลัก ได้แก่ สายไฟนำ (Live หรือ Hot) และสายไฟลบ (Neutral) ซึ่งมีกระแสไฟฟ้าไหลในลักษณะคลื่นชีพจรที่มีความถี่ 50 Hz ในประเทศไทย
- การใช้งานในปั๊มน้ำ : ปั๊มน้ำที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟสมักจะเหมาะกับการใช้งานในระบบน้ำขนาดเล็กที่ไม่ต้องการพลังงานไฟฟ้าสูง เช่น ระบบน้ำประปาภายในบ้าน, การสูบน้ำจากบ่อน้ำตื้น, หรือปั๊มน้ำสำหรับการใช้งานในสวนและพื้นที่เกษตรขนาดเล็ก
- ข้อดี : ระบบไฟฟ้า 1 เฟสมีข้อดีคือการติดตั้งง่าย และเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่ต้องการพลังงานมาก ปั๊มน้ำที่ใช้ไฟฟ้า 1 เฟสยังมีราคาถูกกว่าและบำรุงรักษาง่าย
- ข้อจำกัด : เนื่องจากไฟฟ้า 1 เฟสมีพลังงานจำกัด จึงไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ปั๊มน้ำในโรงงานหรือระบบสูบน้ำที่มีขนาดใหญ่
ไฟฟ้า 3 เฟสเหมาะสำหรับการใช้งานในระบบปั๊มน้ำที่ต้องการพลังงานสูง หรือในงานอุตสาหกรรม เช่น การสูบน้ำในโรงงาน, ระบบสูบน้ำในอาคารสูง, การสูบน้ำจากแหล่งน้ำลึก หรือการใช้งานในระบบเกษตรขนาดใหญ่ ปั๊มน้ำที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟสมีลักษณะดังนี้
- โครงสร้างของไฟฟ้า 3 เฟส : ระบบไฟฟ้า 3 เฟสมีสายไฟทั้งหมด 3 สายที่ให้พลังงาน (Phase 1, Phase 2, Phase 3) และสายดิน (Neutral) ซึ่งการจ่ายไฟในลักษณะนี้ทำให้สามารถส่งพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้นและมีความเสถียร
- การใช้งานในปั๊มน้ำ : ปั๊มน้ำที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟสมักจะถูกใช้งานในระบบที่ต้องการพลังงานสูง เช่น ระบบสูบน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม, การสูบน้ำจากแหล่งน้ำลึกในพื้นที่ที่ต้องการการสูบน้ำในปริมาณมาก, หรือการใช้งานในฟาร์มเกษตรที่ต้องการการจ่ายน้ำในปริมาณมหาศาล
- ข้อดี : ระบบไฟฟ้า 3 เฟสมีข้อดีคือการจ่ายไฟที่มีความเสถียรและสมดุล ทำให้ปั๊มน้ำสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะใช้พลังงานสูง นอกจากนี้ยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว
- ข้อจำกัด : การติดตั้งระบบไฟฟ้า 3 เฟสมักจะซับซ้อนกว่าและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบไฟฟ้า 1 เฟส เนื่องจากต้องการอุปกรณ์และการเดินสายไฟที่มากกว่า
3. แหล่งจ่ายไฟฟ้า DC (Direct Current)
ปั๊มน้ำบางประเภทอาจใช้แหล่งจ่ายไฟฟ้า DC ซึ่งเป็นการใช้กระแสไฟฟ้าตรงจากแบตเตอรี่หรือแหล่งพลังงานที่ใช้ไฟฟ้าตรง เช่น การใช้งานในสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้า AC ได้ เช่น ในระบบสูบน้ำสำหรับการเกษตรในพื้นที่ห่างไกลที่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์
- การใช้งาน : การใช้ไฟฟ้า DC มักจะเป็นทางเลือกในสถานที่ที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า AC หรือในกรณีที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดจากแหล่งพลังงานทดแทน เช่น การใช้ปั๊มน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำในพื้นที่ห่างไกล
- ข้อดี : ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้งานได้ในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า
- ข้อจำกัด : ระบบไฟฟ้า DC มีข้อจำกัดในเรื่องของประสิทธิภาพและความคงทนของพลังงาน รวมทั้งความสามารถในการจ่ายพลังงานที่จำกัดเมื่อเทียบกับไฟฟ้า AC
4. แหล่งพลังงานจากเครื่องยนต์ (Diesel Engine / Gasoline Engine)
ในบางกรณีที่ไม่สามารถใช้ไฟฟ้าจากกริดได้ เช่น ในพื้นที่ห่างไกลหรือในกรณีฉุกเฉิน ปั๊มน้ำบางรุ่นอาจจะใช้เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันดีเซลหรือเบนซิน เพื่อให้พลังงานในการขับเคลื่อนปั๊ม
- การใช้งาน : ปั๊มน้ำที่ใช้เครื่องยนต์สามารถใช้งานได้ในกรณีที่ไฟฟ้าไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น การสูบน้ำในพื้นที่ห่างไกลจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า หรือการใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ข้อดี : สามารถใช้งานได้ในพื้นที่ห่างไกลจากระบบไฟฟ้าและไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานไฟฟ้า
- ข้อจำกัด : การใช้งานเครื่องยนต์ต้องมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ และมีค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน ซึ่งอาจเป็นภาระเมื่อใช้งานในระยะยาว
รู้แล้ว เลือกเลย !
การเลือกปั๊มน้ำที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณนั้นต้องพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่ประเภทของปั๊ม, ความสูงที่น้ำต้องเคลื่อนที่, ปริมาณน้ำที่ต้องการ, ไปจนถึงวัสดุและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเลือกปั๊มน้ำที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว หรืออาจจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมมากว่านี้ก็ได้ครับ